บทที่ 1 เริ่มร่างเค้าโครงร่าง

เริ่มต้น

แน่นอนว่าเวลาที่เราจะเริ่มอะไรสักอย่าง เราต้องมีแนวคิดเริ่มแรกก่อน หรืออย่างน้อยที่สุดเราต้องรู้ว่าเราอยากจะพูดอะไร ความจริงแล้วรอบๆตัวเรามีสิ่งต่างๆมากมายให้เราสามารถจะหยิบยกขึ้นมาได้ เหมือนกับเราต้องการที่จะปรุงอาหาร เราต้องรู้ก่อนว่าเราอยากจะกินอะไร และเราได้เตรียมวัตถุดิบอะไรไว้บ้างแล้ว จากนั้นเราจึงพร้อมที่จะลงมือทำอาหาร

การร่างเค้าโครงร่างคือการเขียนแบบหยาบๆถึงแนวความคิดเรา มันจะยาวสักหนึ่งหน้ากระดาษ A4 ก็ได้หากเราจะเขียน หรือมีเพียงแค่หนึ่งบรรทัดมันก็ไม่แปลกอะไร เพราะมันเป็นแค่เค้าโครงร่างแบบหยาบๆ

ในชีวิตประจำวันของเราพบเจอกับเหตุการณ์มากมาย ทั้งในอดีต ปัจจุบันหรือในอนาคตที่เราคิดว่าจะต้องเจอ เราสามารถเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นวัตถุดิบในการปรุงเรื่องสั้นของเราได้ทั้งสิ้น ตัวอย่างของเหตุการณ์ที่เราได้เจอและสามารถหยิบมาปรุงแต่งได้นั้น อาจจะเป็น

  • ประสบการณ์
  • ผู้คนรอบข้าง
  • สิ่งที่ชอบ
  • งานอดิเรก
  • สิ่งที่อยากและไม่อยากทำ
  • ความถนัด


นี่คือตัวอย่างเพียงเล็กน้อยจากสิ่งรอบตัวเราที่สามารถจุดประเด็นเล็กๆให้ขยายออกมาเป็นวัตถุดิบมากมายให้เราได้เลือกใช้

ประสบการณ์

หากพูดถึงคำว่าประสบการณ์ แน่นอนว่าทุกคนบนโลกนี้ย่อมมีประสบการณ์ แต่อาจจะต่างกันที่จำนวนว่ามากน้อยแค่ไหนในแต่ละคน แต่ผู้เขียนมีความเชื่อทีว่าแม้แต่คนที่มีประสบการณ์น้อยที่สุดในโลก เขาคนนั้นก็สามารถนำประสบการณ์ของเขาช่วงใดช่วงหนึ่งมาเขียนเรื่องสั้นได้อย่างแน่นอน

เหตุการณ์จริง

เหตุการณ์จริงก็คือเรื่องราวต่างๆที่เราได้ประสบพบเจอมันด้วยตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำเนินไปในช่วงเวลาที่เราจดจำมันไว้ก็คือประสบการณ์จากเหตุการณ์จริง อาจจะเริ่มตั้งแต่เราตื่นนอนในเช้าทีมีนัดสัมภาษณ์งาน แต่พอตื่นมาปรากฎว่านาฬิกาปลุกถ่านหมดก่อนที่จะส่งเสียงปลุกในเวลา 6 โมงเช้า พอดูเวลาที่โทรศัพท์มือถือเป็นเวลา 7 โมง คำนวนแล้วมีเวลาเตรียมตัวอีกแค่ 20 นาทีเพราะต้องเผื่อเวลาเดินทาง โชคดีที่เตรียมของทุกอย่างไว้หมดแล้ว จึงรีบแต่งตัวออกจากบ้านโดยไม่ได้กินข้าวเช้า พอไปถึงตึกที่นัดสัมภาษณ์ปรากฎว่ามีคนรอสัมภาษณ์อีก 10 กว่าคน เลยตัดสินใจลงไปหาอะไรกินชั้นล่าง ระหว่างที่กำลังเลือกซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ต ได้ยินเจ้าของร้านคุยกับพนักงานในร้านว่า บริษัทที่อยู่ชั้นบนล่อลวงคนมาสัมภาษณ์งาน แต่แท้จริงแล้วต้องการหาสมาชิกมาทำธุรกิจขายตรงแบบแชร์ลูกโซ่ เมื่อเราได้ยินดังนั้นจึงรีบไปสอบถามรายละเอียดกับเจ้าของร้านทันทีว่าใช่บริษัทที่ตนกำลังจะไปยื่นใบสมัครหรือเปล่า ปรากฎว่าใช่เราจึงจ่ายเงินค่าของกินและรีบโบกแท๊กซี่กลับบ้านทันที

หากเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเราจริงๆ มีจุดเล็กๆในเหตุการณ์นี้มากมายที่เราสามารถหยิบยกขึ้นมาได้ อาจจะเป็นเรื่องของนาฬิการปลุกที่ดันถ่านหมดก่อนที่มันจะปลุกเราเพื่อไปนัดเจอกับหญิงสาวทีเพิ่งจะเริ่มจีบ ทำให้เราไปช้ากว่าเวลาที่นัดไว้ครึ่งชัวโมง เมื่อไปถึงที่นัดเราไม่เจอเธอจึงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเซ็งๆ แต่อีกแค่นาทีเดียวต่อมาเธอปรากฎตัวขึ้นและเรายิ้มดีใจที่เธอก็มาสาย สุดท้ายเธอประทับใจในตัวเรามากขึ้นเพราะเธอคิดว่าเราสามารถยืนรอเธออย่างอดทนได้ตั้งครึ่งชั่วโมง พอเจอหน้ากันก็ยิ้มแย้มแจ่มใสไม่มีอาการหน้าบูดหน้าบี้เลยแม้แต่นิดเดียว
หรืออาจจะเป็นเรื่องของบริษัทที่นับสมัครงาน พอเราบังเอิญรู้ว่าบริษัทนั้นต้องการล่อลวงไปเป็นสมาชิกขายตรง เราจึงรีบหาข้อมูลในจากร้านอินเตอร์เน็ท และปรินท์หลักฐานไปให้ผู้รอสัมภาษณ์ดูก่อนที่จะถึงเวลานัดสัมภาษณ์งาน ปรากฎว่าพอถึงเวลานัดสัมภาษณ์จริงๆคนทีมารอสัมภาษณ์ต่างพร้อมใจกันกลับบ้านหมดเลย
นี่คือตัวอย่างของการหยิบช่วงเวลาเล็กๆที่เกิดเหตุการเหตุการณ์ที่ดูแปลกประหลาดหรือผิดปกติขึ้นมา เหตุการณ์แปลกๆเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นชั้นดีที่จะนำไปต่อยอดเพราะเหตุการณ์แปลกที่มักจะไม่ค่อยเกิดขึ้นกับตัวเรา มันจะยิ่งทำให้เนื้อเรื่องดูน่าสนใจยิ่งขึ้น

อ่านหนังสือ ดูภาพยนต์

การอ่านหนังสือและดูภาพยนต์ก็เป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งที่เราจะสามารถเอามันมาดัดแปลง ปรับเปลี่ยนหรือค้นหาจุดเริ่มต้นของเราได้ หากพูดถึงหนังสือมันก็มีหนังสือหลากหลายประเภทให้เลือกอ่าน ผู้เขียนขอลองยกตัวอย่างจากการอ่านหนังสือพิมพ์

อยู่มาวันหนึ่งเรานึกครึ้มใจหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาดูที่หน้าแรก เห็นพาดหัวข่าว "ยิงดับพ่อค้าไม้ดัง" พอเข้าไปอ่านเนื้อหามีเนื้อข่าวว่า พ่อค้าไม้ผู้มีอิทธิพลกลับจากกินเหล้า พอขับรถใกล้ถึงบ้านอีกแค่ปากซอยเดียว โดนมือปืนซ้อนรถจักรยานยนต์จ่อยิง 3 นัดดับคาที ตำรวจมุ่งสงสัยปมชู้สาวหรือธุรกิจ
ตำรวจสืบปมฆ่าพ่อค้าไม้โดยมุ่งไปที่เรื่องชู้สาว เพราะผู้ตายมีบ้านเล็กบ้านน้อยนับสิบ ผู้ลงมืออาจมีความขัดแย้งกับคนใกล้ตัวชู้สาว อีกประเด็นที่ตำรวจไม่ทิ้งคือปมเรื่องธุรกิจ พอสืบไปจึงพบผู้ตายมีธุรกิจค้าไม้ผิดกฏหมาย อาจจะแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัวกับหุ้นส่วนหลายเจ้า ต่อมาตำรวจบุกทะลายธุรกิจไม้เถื่อนเพราะหุ้นส่วนธุรกิจไม้เถื่อนกับผู้ตายบางคนออกมาซัดทอดหุ้นส่วนคนอื่นๆ สุดท้ายตำรวจจึงสามารถทำลายขบวนการไม้เถื่อนได้อย่างถอนรากถอนโคน ตอนจบปรากฏว่าผู้ร้ายที่ลงมือยิงพ่อค้าไม้จริงๆแล้วคือเพื่อนสนิท ที่ตามมายิงผู้ตายด้วยความมึนเมาเพราะก่อนเวลาที่เกิดเหตุ ถูกผู้ตายด่าเสียๆหายๆในวงเหล้า สร้างความอับอายให้มือปืนเป็นอย่างมาก จึงลงมือโดยขาดสติ โดยผู้ที่ขี่จักรยานยนต์ให้คือเพื่อนอีกคนที่โดนผู้ตายด่าคาวงเหล้าเช่นกัน
หนังสืออีกประเภทที่สามารถเป็นวัตถุดิบเริ่มต้นได้เป็นอย่างดีของการเขียนเรื่องสั้น ก็คือหนังสือเรื่องสั้นเอง หรืออาจจะเป็นหนังสือนิยายก็ได้ ที่แนะนำแบบนี้ไม่ใช่หมายถึงว่าจะให้ไปคัดลอกโครงเรื่องของเขามาทั้งดุ้น เช่นเดียวกันกับการอ่านหนังสือพิมพ์ เราจะหยิบแค่จุดเล็กๆมาเพียงแค่จุดเดียวเท่านั้น

ผู้เขียนขอยกตัวอย่างเป็นนิทานอมตะที่ทุกคนต่างก็รู้จักกันดี "หนูน้อยหมวกแดง" ตัวอย่างนี้ผู้เขียนได้ใช้โครงเรื่องของนิทานหนูน้อยหมวกแดงมาเป็นแนวทางเดินเรื่องของเรื่องสั้นที่ผู้เขียนแต่งโครงเรื่องของหนูน้อยหมวกแดงคือ หนูน้อยหมวกแดงได้รับคำสั่งให้เอาของฝากไปฝากยายที่อยู่ในป่า แต่ระหว่างทางที่ไปเธอพบกับหมาป่า หมาป่าล่อถามหนูน้อยหมวกแดงว่าจะไปไหน เมื่อรู้คำตอบแล้วเจ้าหมาป่าจึงไปดักรอยังจุดหมายปลายทางของหนูน้อยหมวกแดงเพื่อจะทำอะไรบางอย่างกับเธอ จากวิธีการเดินเรื่องแบบนี้ ผู้เขียนจึงเอามาแปลงเป็นเรื่องสั้นของตัวเอง และยังใช้ชื่อเรื่องว่า "หนูน้อยหมวกแดง" ด้วย เข้าไปดูเรื่องสั้นตามลิงค์นี้


ภาพยนต์ก็เช่นเดียวกับกับหนังสือ หากเราเจอจุดไหนหรือเหตุการณ์ไหนที่เราสนใจและรู้สึกสนุก เราหยิบมาเป็นจุดเริ่มของเราได้ เช่นหากใครเคยดูภาพยนต์เรื่อง Cloud Atlas (2012) มีเหตุการณ์ของน้องชายที่ต้องการยืมเงินจากพี่ชาย แต่พี่ชายกับบอกว่าให้น้องชายไปซ่อนตัวที่โรงแรมของพี่ชายก่อน เพราะต้องใช้เวลาในการเตรียมเงินและหลบหนีพวกคนทวงเงิน ปรากฎว่าโรงแรมแห่งนั้นเป็นบ้านพักคนชราที่พี่ชายต้องการขังน้องชายไว้เพราะไม่อยากให้ออกมาก่อเรื่อง ผู้เขียนเอาจุดเล็กๆตรงนี้มาแต่งเป็นเรื่องสั้นของตัวเอง ชื่อว่า "โรงแรมอลวล"

ฟังจากคนอื่น

การฟังเรื่องเล่าจากผู้อื่นคือการซึมซับประสบการณ์จากผู้อื่นที่ดีเยี่ยม เราสามารถนำประสบการณ์เหล่านั้นมาเป็นจุดเริ่มต้นได้ทั้งสิ้น

ตัวอย่างประสบการณ์ที่ผู้เขียนหยิบยกมานี้เป็นเพียงส่วนน้อยนิดที่เราจะเจอจริงๆในชีวิตประจำวันของเรา มีเรื่องราวอีกมากมายที่เราเจอ เช่นการดูสารคดี ดูรายการโทรทัศน์ การเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ เรื่องราวจากอดีตที่ยังจำได้หรืออีกมากมายที่มันจะเรียกว่าประสบการณ์ ผู้อ่านอาจจะลองค่อยๆหลับตาและขุดเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากความทรงจำออกมา

ผู้คนรอบข้าง

บางครั้งเราคิดอะไรไม่ออกเกี่ยวกับประสบการณ์หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองที่จะนำมาเป็นจุดเริ่มต้นในการเขียน สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุดลำดับต่อไปก็คือผู้คนรอบข้าง ผู้คนรอบข้างเรานั้นมีเรื่องราวมากมายที่เราจะมองเห็นและหยิบยกมันออกมาได้ องค์ประกอบ คุณลักษณะของพวกเขาเหล่านั้นพร้อมที่จะให้เรานำมาจิตนาการออกไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

วิธีที่เราสามารถสังเกตคนรอบข้างได้ มีทั้งการ ฟัง ดู สัมผัส ดม การฟังก็แน่นอนว่าฟังในสิ่งที่คนอื่นพูด การดูนั้นอาจจะเฝ้ามองดูพฤติกรรมแปลกๆของคนที่เราเฝ้าดู และนำสิ่งนั้นมาใช้กับเรื่องสั้นของเรา การสัมผัสก็อาจจะเป็นว่าเราเคยไปจับร่างกายของเพื่อนที่เป็นนักกีฬาเล่นกล้ามแล้วเรารู้สึกทึ่ง เราจึงคิดที่จะแต่งเรื่องสั้นเกี่ยวกับนักกีฬาเล่นกล้ามที่หุ่นดี หน้าตาหล่อเหลา มีผู้หญิงและผู้ชายมาลุมของเป็นแฟน แต่ชายหนุ่มไม่สนใจใครทั้งสิ้นแม้คนที่มาจีบเขาจะหล่อสวยเพียงใด สุดท้ายปรากฎว่านักกล้ามมีแฟนเป็นลุงแก่ๆหัวล้านและลงพุง

แม้แต่การดมก็สามารถทำให้จดจำถึงคุณลักษณะของคนอื่นได้ รุ่นพี่ที่ทำงานกลิ่นตัวแรงมาก แต่ไม่มีใครกล้าบอก เราเอาสิ่งที่เราสังเกตุได้นี้มาทำเป็นเค้าโครงเรื่องสั้น อาจจะเขียนว่า วันนี้ในออฟฟิศมีประชุมนอกเวลาจากพนักงานในแผนก เกี่ยวกับเรื่องกลิ่นตัวที่เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งในแผนก ที่ประชุมกันวันนี้เพราะพนักงานกลิ่นตัวแรงลากิจวันนี้ พนักงานทุกคนระดมสมองกันช่วยหาวิธีบอกเรื่องกลิ่นตัวกับพนักงานคนนั้น เพราะไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้กับเขาซึ่งๆหน้า ทุกคนตัดสินใจว่าจะเขียนจดหมายโดยไม่ลงชื่อและช่วยกันซื้อน้ำหอมไปวางที่โต๊ะของเขา สุดท้ายทุกคนในออฟฟิศหมดปัญหาเรื่องกลิ่นเพราะเขาลาออกจากบริษัททันทีที่อ่านจดหมายฉบับนั้น

สิ่งที่ชอบ

สิ่งที่ชอบนี้หมายถึงอะไรก็ได้ที่เราโปรดปราณ อาจจะเป็นกิจกรรมอะไรสักอย่างที่ชอบทำและทำมันเป็นประจำ

กีฬา

ไม่ว่าผู้อ่านจะชอบเล่นกีฬาหรือแค่ชอบดูกีฬานั้นๆ เราก็สามารถที่จะเริ่มเขียนเกี่ยวกับมัน โดยบางครั้งเราอาจจะใช้ประเด็นที่มักเกิดขึ้นกับกีฬาที่เราชื่นชอบและเรารู้ดีมาเขียน เช่นหากเราติดตามวงการมวยบ้านเรา มักจะมีข่าวเกี่ยวกับการพนันซึ่งทำให้เกิดการล้มมวย (ในปัจจุบันอาจจะไม่มีแล้วก็เป็นได้) มาเป็นประเด็นที่เราอยากจะเขียนเกี่ยวกับมัน ตัวอย่างเรื่องสั้นที่ผู้เขียนได้เคยเขียนไว้ ก็นำเอาเรื่องราวของการล้มมวยมาเป็นประเด็น ซึ่งแรงจูงใจของการล้มมวยก็คือเงิน เราอาจจะต้องปูพื้นว่าทำไมนักชกถึงต้องล้มมวยเพราะเงิน ลองดูตัวอย่างเรื่องสั้นได้จากลิงค์นี้


งานศิลปะ

งานศิลปะในแขนงอื่นๆถือว่าเป็นงานศิลปะเฉกเช่นเดียวกับการเขียนเรื่องสั้น ในทุกๆงานศิลป์ล้วนต้องมีแนวคิดในการที่จะสร้างมันออกมา เช่นงานภาพเขียน มันไม่มีทางที่ถูกเขียนขึ้นมาลอยๆโดยที่ไม่มีแนวคิดอะไร หากเรามองภาพศิลป์สักภาพและพิจารณามันอย่างจริงจัง เราจะพบว่าแนวคิดของศิลปินคนนั้นมันคืออะไรอย่างแน่นอน



เราลองพิจารณาภาพนี้ มันเป็นภาพที่กึ่งๆจะ Abstract เราแทบจะดูไม่ออกเลยว่ามันเขียนมาจากอะไร หากเราได้รู้จักกับศิลปินที่เขียนภาพนี้ เราอาจจะถามเขาไปเลยว่าอะไรคือแรงบัลดาลใจให้เขียนภาพนี้ออกมา แต่ถ้าไม่ คุณคงต้องจินตนาการเองแล้วว่าภาพนี้มันคืออะไร และแรงบัลดาลใจมันคืออะไร แต่ไม่ต้องกังวลใจไปหากว่าคุณจะจินตนาการมันออกมาผิดพลาดกับจุดประสงค์ที่แท้จริงของศิลปิน เพราะมันไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณมองภาพนั้นออกมาอย่างไร

ผู้เขียนไม่รู้จักกับศิลปินที่วาดภาพนี้ ไม่สามารถโทรศัพท์ไปถามถึงแรงบัลดาลใจเกี่ยวกับงานเขียนของเขา จึงต้องใช้จินตนาการในการมองภาพนี้ว่ามันคืออะไร เมื่อมองดูอย่างจริงจังแล้วคิดว่ามันอาจจะเป็นภาพของเมืองใหญ่ที่มีรถสัญจรไปมาบนท้องถนนในเมืองที่อยู่ท่ามกลางหุบเขา มันถูกแบ่งแยกกับเมืองใหญ่ในพื้นที่ลุ่มที่กว้างใหญ่กว่า แต่สีสันในยามราตรียังส่องสีแสงเจิดจรัสไม่ต่างจากเมืองใหญ่

เมื่อผู้เขียนตีความได้ดังนี้ สิ่งทีได้คือบรรยากาศของเมืองท่ามกลางหุบเขาที่คึกคักแม้ในยามค่ำคืน ไม่ใช่เหตุการณ์อะไรที่น่าสนใจและนำไปเป็นจุดเริ่มต้นได้ แต่ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยที่สุดเราก็มีบรรยากาศของงานศิลป์ที่เราสามารถนำไปใช้ในการคิดโครงเรื่องของเราได้
โครงเรื่องอาจจะอยู่ในยามค่ำคืนของเมืองที่อยู่ท่ามกลางหุบเขา ความคึกคักและแสงสีทีดูวุ่นวายเพราะเมืองนี้เป็นเมืองที่มีอุตสาหกรรมเหมืองแร่ มีผับบาร์ โรงแรมมากมายไว้บริการคนใช้แรงงานนับพันที่ทำงานที่นี่ เกิดเหตุฆาตกรรมหญิงสาวบริการที่ฮ๊อตที่สุดในเมือง ตำรวจที่เข้ามาคลี่คลายคดีโดยมุ่งไปที่สถานบริการคู่แข่งเพระถูกแย่งลูกค้าไปจนใกล้จะเจ๊ง ...
ตัวอย่างที่อธิบายไปนั้นสิ่งทีเราได้จากภาพเขียนคือบรรยากาศและฉากของเรื่อง แต่งานศิลปะมากมายหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้น ภาพถ่าย งานพับกระดาษหรืองานสถาปัตยกรรม เราสามารถหาแรงจูงใจและอารมณ์จากงานเหล่านั้นมาใช้ในงานเขียนของเราได้ไม่มีที่สิ้นสุด

ดนตรี

หากพูดถึงดนตรี สิ่งแรกที่คนมักจะคิดถึงก็คือเพลงที่มีเนื้อร้อง การที่ศิลปินจะแต่งเนื้อร้องของเพลงขึ้นมา เขาจะต้องกลั่นกรองความคิดในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อออกมาเป็นอย่างดี หากเราหยิบประเด็นที่เขาพูดถึงนั้นมาเลยเราก็จะได้ประเด็นปัญหาที่ถูกคิดมาแล้วอย่างดี โดยเราไม่ต้องสูญเสียพลังงานในการมองมากมายแต่อย่างใด

หากเราคิดว่าอยากจะเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับปัญหาสังคม มีบทเพลงเพื่อชีวิตมากมายที่พูดถึงประเด็นปัญหาทางสังคม เราสามารถหยิบตรงนั้นมาได้เลยและนำมาเพิ่มนู่นนิดนี่หน่อยเราก็จะได้โครงร่างของเรื่องมาได้อย่างง่ายดาย ลองฟังบทเพลงนี้แล้วจับประเด็น
เนื้อเพลงพูดถึงการตีกันของนักเรียนอาชีวะ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาสังคมในเมืองกรุงที่มีมาอย่างยาวนานและคงจะมีต่อไปเรื่อย เราอาจจะเริ่มจากนักเรียนอาชีวะจากโรงเรียน A รวมกลุ่มกันเดินขึ้นรถเมล์ บังเอิญขึ้นไปเจอนักเรียนอาชีวะจากโรงเรียน B นั่งรวมกลุ่มกันแต่มีจำนวนคนน้อยกว่า 2 คน นักเรียนโรงเรียน B รีบวิ่งหนีลงจากรถทันทีทำให้นักเรียนกลุ่มโรงเรียน A ฮึกเหิมวิ่งไล่ตามลงไปและพยายามใช้ไม้บรรทัดเหล็กไล่ตี มีนักเรียนจากโรงเรียน A คนหนึ่งล้วงมีดพับออกมาจากกระเป๋าและแทงเข้าที่ท้องของรักเรียนโรงเรียน B ตายคาที่หนึ่งคน นักเรียนจากโรงเรียน A เห็นคู่อริโดนเสียบเลยวิ่งหนีแตกกระเจิงกันหมดแต่เหลือเพื่อนอีกหนึ่งคนที่โดนกระทืบตอบจนตัวเองลงไปนอนกับพื้น เมื่อได้สติลุกขึ้นมาแต่ไม่เห็นเพื่อนสักคนและคู่อริก็วิ่งหนีกันไปหมดแล้วเหลือแต่คู่อริที่นอนตายจมกองเลือด เขาลุกเดินไปที่ศพเห็นมีพับที่ด้ามสลักชื่อเล่นของเขาเอง มีดพกเล่มนี้เขาจำได้ว่าให้เพื่อนยืมก่อนหน้านี้ซึ่งมีรอยนิ้วมือของนักเรียนคนนี้ และเมื่อมองที่ใบหน้าของศพดีๆปรากฎว่าคนที่นอนตายเป็นเพื่อนสนิทที่เคยอยู่บ้านใกล้กันในสมัยที่อยู่ต่างจังหวัด หลังจากนั้นตำรวจก็มาพอดี
ตัวอย่างเค้าโครงเรื่องนี้มีความหดหู่ใจ ซึ่งเป็นการตั้งใจของผู้เขียนที่จะให้การกระทำที่ผิดๆนั้นได้รับผลลัพธฺ์ของการกระทำ หากให้แค่เด็กหนุ่มคนนั้นโดนตำรวจจับติดคุกมันก็รุนแรงในระดับหนึ่ง แต่ผู้เขียนจงใจเพิ่มความรุนแรงให้โดยการที่คนตายคือเพื่อนสนิทของเขาเอง พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายก็รู้จักกันดี จึงเป็นเรื่องที่ดูน่าหดหู่ใจและไม่น่าให้อภัยกับการกระทำของตัวเอง การวางเค้าโครงเรื่องแบบนี้จะเป็นการนำเสนอที่รับผิดชอบต่อสังคม  เราต้องชี้นำในสิ่งที่ถูกต้องให้กับผู้อ่าน ต้องสร้างค่านิยมที่ถูกต้องในสังคมต่อไป หากผู้เขียนสร้างเค้าโครงเรื่องเป็นว่านักเรียนโรงเรียน A หนีไปได้ ตำรวจไม่สามารถตามหาคนร้ายเจอ แต่กลุ่มนักเรียนโรงเรียน A กลับได้รับการยกย่องจากรุ่นพี่และรุ่นน้องในสถาบัน และอาจรวมถึงอาจารย์บางคนด้วย การสร้างโครงเรื่องแบบนี้โดยปล่อยให้คนที่ทำความผิดแต่กลับได้รับการสรรเสริญเยินยอ อาจทำให้ผู้อ่านที่เป็นนักเรียนอาชีวะไปไล่แทงคู่อริต่างโรงเรียนได้ เป็นการสร้างปัญหาสังคมให้ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งหน้าที่สำคัญของนักเขียนเรื่องสั้นก็คือการรับผิดชอบต่อสังคมด้วย

หรือบางทีเราอยากหาแรงบัลดาลใจจากเพลงบรรเลง มันดูยากในการที่จะหาสิ่งเหล่านั้นจากเพลงบรรเลง แต่มันก็เป็นไปได้ ในเพลงบรรเลงนั้นส่วนใหญ่จะแสดงถึงอารมณ์ของโน๊ตเพลงและทำนองของเพลง วิธีการง่ายๆของผู้เขียนคือจับช่วงอารมณ์ของเพลงว่าแต่ละช่วงรู้สึกอย่างไร ตัวอย่างที่เอามาให้ดู หากลองเปิดเข้าไปฟังเพลงบรรเลงจากวีดีโอที่ให้ไว้นี้ จะแบ่งออกเป็น 3 ช่วงที่มีอารมณ์ต่างกัน ช่วงแรกจะเศร้าผู้เขียนเลยคิดว่าน่าจะเป็นการโหยหาถึงอดีต ช่วงที่สองมีจังหวะที่เร้าใจขึ้นเลยจะให้เป็นเรื่องของการมีความหวัง และช่วงสุดท้ายฟังดูแล้วหดหู่จะให้เป็นอารมณ์ของการผิดหวังและการยอมรับความจริง
ลองฟังเพลงและเข้าไปดูเรื่องสั้นของผู้เขียนจากลิงค์ข้างล่างนี้






สิ่งที่อยากทำและไม่อยากทำ

สิ่งที่อยากทำ

สิ่งที่อยากทำหมายถึงกิจกรรมอะไรก็แล้วแต่ที่เราอยากจะทำมัน แต่เราอาจจะยังไม่ได้ทำเพราะติดปัญหาอะไรบางอย่าง สิ่งที่เราอยากทำนั้นอาจจะเป็นได้ตั้งแต่การร้องเพลง เล่นดนตรี ตีเทนนิส เล่นละครจอแก้ว อยากทำขนมเค้ก เปิดร้านกาแฟ ปีนหน้าผาโดยใช้มือเปล่า ดำน้ำโดยไม่ใช้ถังอ๊อกซิเจน เต้นระบำใต้น้ำกับนักกีฬาทีมชาติ ทำผมทรงโมฮอว์ก สักยันต์คงกระพัน เจาะลิ้นใส่ห่วงเหล็ก แฮคระบบของเพนตาก้อน ปล้นธนาคาร ไปตีหัวตำรวจจราจร เดินเข้าไปจีบหญิงที่แอบชอบมานาน ปั่นจักรยานข้ามประเทศ ขี่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ๆข้ามทวีป ไปเที่ยวรอบโลกหรืออาจจะเดินทางไปดาวอังคารเลยก็ได้ ความต้องการเหล่านี้แม้บางอย่างอาจจะดูเพี้ยนๆหรือผิดกฎหมายแต่เราไม่ต้องไปสนใจ เพราะมันเป็นแค่จินตนาการ

การใช้จินตนาการถึงสิ่งที่เราอยากทำนั้นข้อดีก็คือ เราจะมีอารมณ์ร่วมกับมันอย่างมากและจะเป็นแรงผลักดันให้เราสร้างเค้าโครงเรื่องได้เป็นอย่างดี ยิ่งจินตนาการไหนดูเพี้ยนๆยิ่งดี เพราะจะทำให้เค้าโครงเรื่องของเราน่าสนใจยิ่งขึ้น

หากสิ่งที่เราอยากทำในใจลึกๆของเราคืออยากไปตีหัวตำรวจจราจร เพราะว่าเราเคยโดนตำรวจจราจรรีดไถเงิน เรามีความแค้นที่อยากจะแต่งเรื่องสั้นด่าตำรวจที่ชอบทำตัวเป็นโจร แรงผลักดันนี้จะช่วยให้เราสร้างเค้าโครงเรื่องได้อย่างถึงอารมณ์ได้ดี อาจจะเริ่มเรื่องว่า เด็กหนุ่มขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านด่านตรวจ เขามีทุกอย่างครบตั้งแต่หมวกกันน๊อค ใบขับขี่ ภาษี พรบ.ยังไม่หมดอายุ สำเนาคู่มือรถ แต่ตำรวจดันหาเรื่องปรับเงินเด็กหนุ่มเพราะเด็กหนุ่มลืมคาดสายรัดที่คางของหมวกกันน๊อค เด็กหนุ่มยอมจ่ายเงินแต่โดยดีเพราะไม่รู้จะเถียงกับตำรวจอย่างไร แต่เขาบังเอิญเห็นมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ราคาหลายแสนจอดให้ตำรวจตรวจ ตำรวจมองแปร๊บเดียวก็โบกมือให้ผ่านไปทันที ที่น่าแค้นใจคือคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ราคาหลายแสนนั้นไม่ใส่หมวกกันน๊อคแต่ไม่ถูกจับปรับเงิน เด็กหนุ่มจึงเก็บเป็นความแค้นไว้ในใจมาเนิ่นนาน อยู่มาวันหนึ่งตำรวจนายนั้นเข้ามาขอเช่าหอพักที่พ่อของเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นเจ้าของ เด็กหนุ่มรู้เรื่องจึงคิดสาระพัดวิธีที่จะแกล้งตำรวจนายนั้นให้ย้ายออกจากหอโดยไม่ได้ค่าประกันคืน

ตัวอย่างนี้จะเห็นว่าเราใช้อารมณ์ร่วมกับการวางโครงเรื่อง คือต้องการจะแกล้งหรือเอาคืนตำรวจให้หนักๆไปเลย มันจึงดูน่าสนุกและน่าติดตาม หากใช้ความอยากอย่างอื่นมาก็สามารถร่างโครงเรื่องได้เช่นกัน เช่นอยากเดินทางรอบโลก โครงเรื่องอาจเป็น
พนักงานบริษัทวัยกลางคนและโสด เขาใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิตสะสมเงินก้อนใหญ่่เพื่อจะใช้เดินทางเที่ยวรอบโลกในยามที่เขาเกษียณ สาเหตุเพราะเขาเบื่อประเทศไทย เบื่อเมืองไทย เบื่อคนไทย เบื่ออาหารไทย เบื่อการเมืองไทย และเมื่อเขาเกษียณ เขาใช้เงินหมดไปหลายล้านบาทเพื่อเดินทางไปรอบโลก และทดลองไปใช้ชีวิตอยู่ในหลายๆที่ เมื่อเขากลับมาประเทศไทย เขาร้องไห้คิดถึงประเทศไทยและค้นพบว่าเขารักเมืองไทย
สักยันต์คงกระพัน ชายหนุ่มวัย 25 ปี เขาเป็นคนชอบชกต่อยกับเด็กวัยรุ่นด้วยกันเป็นประจำ ชนะบ้างแพ้บ้างตามประสา อยู่มาวันหนึ่งเขาได้ข่าวว่ามีอาจารย์สักยันต์ชื่อดังเปิดสำนัก จึงไปให้อาจารย์คนนั้นสักยันต์คงกระพันให้ เมื่อสักยันต์เสร็จปรากฎว่าเวลาเขามีเรื่องชกต่อยกับใครเขาไม่เคยชนะเลย สาเหตุเพราะรอยสักยันต์คงกระพันกลับไปเพิ่มความฮึกเหิมให้กับคู่ต่อสู้ของชายหนุ่มที่อยากจะลองของ

หรือเรื่องง่ายๆอยากทำขนมเค้ก พ่อค้าร้านเค้กสอดใส่ยาบ้าไปส่งให้ลูกค้าเพื่อหลบตำรวจ หรือแม่ค้าทำขนมเค้กเก่งมาก มีลูกค้าเต็มร้านทุกวัน เธอไม่เคยกินเค้กที่ตัวเองทำเลยสักครั้งเดียว แม้ค้าได้สูตรเค้กผีบอก จากการเจอผีฝรั่งในตอนที่เดินทางไปเที่ยวฝรั่งเศส เธอทำอาหารไทยให้ผีกินในตอนนั้น 
ลองอีกสักหนึ่งตัวอย่าง ปล้นธนาคาร กลุ่มโจรบุกปล้นธนาคารได้เงินไปจำนวนหนึ่ง หลังจากโจรหนีไปได้อย่างไร้ร่องรอย ธนาคารออกแถลงข่าวว่าถูกปล้นเงินไปกว่า 100 ล้านบาท จากนั้นไม่นานกลุ่มโจรทั้งหมดยอมมอบตัวกับตำรวจพร้อมนำเงินที่ปล้นไปมาคืนให้ธนาคารโดยพวกเขาแถลงการว่าเงินที่พวกเขาปล้นไปนั้นมีแค่ 5 ล้านบาทและบอกถึงสาเหตุที่ยอมมอบตัวเพราะ เขาปล้นเงินมาจากธนาคารแค่ 5 ล้านบาท แต่พวกเขาเองกลับถูกธนาคารปล้นเงินจากเขาไปถึง 95 ล้านบาท ภายหลังกระแสสังคมยกย่องกลุ่มโจรที่ทำผิดแล้วสำนึกผิด โยนความเกลียดชังไปให้ผู้จัดการธนาคารที่กุเรื่องขึ้น จนนายธนาคารคนนั้นโดนไล่ออกเสียผู้เสียคนไปเลย

สิ่งที่ไม่อยากทำ

สิ่งที่ไม่อยากทำจะคล้ายๆกันกับสิ่งที่อยากทำ แต่แรงผลักดันที่ทำให้คนเราไม่อยาก มันมีแรงมากกว่าแรงผลักดันที่ทำให้อยากทำ หากเราไม่อยากทำสิ่งใด ส่วนมากเรามักจะเกิดความกลัว เกิดความกลัวเพราะความไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ในสมองเราก็ดันไปจินตนาการเรื่องราวมากมายที่เรากลัวว่ามันอาจจะเกิด เช่นเราไม่อยากไปโรงเรียนในวันแรก ลองนึกย้อนกลับไปในวัยเด็กว่าทำไมเราถึงไม่อยาก เพราะเราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโรงเรียน ที่โรงเรียนอาจเป็นสถานที่แปลกใหม่สำหรับเรา เราจะอยากไปโรงเรียนทำไมในเมื่ออยู่บ้านก็สบายอยู่แล้ว สามารถเดินไปเล่นกับเพื่อนๆข้างบ้านได้ตลอดเวลา ที่โรงเรียนคงจะมีแต่ความน่าเบื่อหรือความโหดร้ายทารุณเพราะเราได้ยินมาว่าที่นั่นคือสถานที่ในการอบรมเพาะบ่มนิสัย เราอาจจะเจอไม่เรียวทุกวันเพื่อบังคับให้เราทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ ต้องพร้อมรับกลับเหล่าบรรดาเพื่อนๆที่มาจากคนละที่และอาจโดนแกล้งได้ คุณครูจะต้องโหดและชอบเฆี่ยนตีนักเรียนที่ไม่เชื่อฟังแน่ๆ อาจจะมีผีหรือสัตว์ประหลาดที่โรงเรียนเลี้ยงไว้เพื่อเอาไว้ควบคุมนักเรียน

เห็นไหมล่ะครับว่าสิ่งที่ไม่อยากทำจะบรรเจิดจินตนาการได้ดีกว่าสิ่งที่อยากทำ ลองดูตัวอย่างเมื่อตอนโตขึ้นมาหน่อย เช่นหากเราไม่อยากไปเกณฑ์ทหาร เพราะการไปเกณฑ์ทหารอาจมีสิทธ์ทำให้เราถูกคัดเลือกไปเป็นทหารเกณฑ์ได้ เพราะเราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการฝึกทหารเกณฑ์ เราอาจจะเคยได้ยินการฝึกที่หฤโหดจากคำบอกเล่าจากบางคน เราก็จะจินตนาการไปตามนั้นหรือหนักกว่านั้น จากตรงจุดนี้เราสามารถหยิบความกลัวจากจินตนาการอะไรก็ได้สักอย่างออกมาร่างเค้าโครงร่างเรื่องสั้นของเราได้เลย เช่น เราไปได้ยินมาว่าการฝึกทหารเกณฑ์จะมีการฝึกมนุษย์ทองคำ ซึ่งก็คือการลงไปจุ่มตัวในบ่ออุจจาระ (ซึ่งความจริงไม่มี อาจโดนแกล้งบอกมา) นั่นทำให้เราเกิดความกลัวว่าจะต้องมีจริง หรือในค่ายทหารต้องมีคนตายแน่นอน และเมื่อมีคนตายก็ย่อมต้องมีผี การฝึกบางครั้งต้องฝึกในตอนกลางคืนก็อาจจะเจอผีครูฝึกมาช่วยฝึก ฯลฯ

เราจะเห็นว่าความกลัวจากจิตใต้สำนึกของเราเอง เป็นอะไรที่เราสามารถหยิบมาเล่นได้ตลอดเวลา อีกตัวอย่างหนึ่งและตัวอย่างสุดท้ายเลยก็แล้วกันคือ เราไม่อยากตาย เราทุกคนไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าโลกหลังความตายมันเป็นอย่างไร แม้ในร้านหนังสือจะมีหนังสือมากมายที่เขาพูดถึงชีวิตหลังความตาย แต่ผู้เขียนเหล่านั้นคงไม่ได้มาปรึกษาและตกลงกันก่อนว่าจะเขียนเรื่องโลกแห่งความตายอย่างไรให้เป็นสากลดี หนังสือที่อธิบายถึงโลกหลังความตายจึงเขียนแบบสะเปะสะปะ แล้วแต่มุมมองและจินตนาการของผู้เขียนเอง แต่ไม่เป็นไรเราไม่ต้องสนใจหรอกว่านักเขียนท่านไหนจะเขียนผิดเขียนถูกเกี่ยวกับโลกหลังความตาย เราสนใจแค่จินตนาการของเขาว่าเขาพูดเอาไว้อย่างไรเพื่อหยิบมาเขียนเป็นเรื่องสั้นของเราดีกว่า หรือถ้าไม่เคยอ่านก็เราอาจจะเคยได้ยินเรื่องเล่าเหล่านี้จากใครบางคนมาแล้วก็ได้

เคยมีคนบอกว่าเมื่อเราตายไปวิญญาณจะออกจากร่าง และจะไล่ตามเก็บรอยเท้าตามสถานที่ที่เราเคยเดิน หากคนรู้จักของใครที่เคยมาเที่ยวที่บ้านแล้วตายไป ให้คิดไว้เลยว่าวิญญาณผู้ตายนั้นจะกลับมาเยี่ยมบ้านอีกครั้ง หรือหากดวงวิญญาณไหนที่ตายโดยที่จิตยังยึดติดหรือตัดไม่ขาดจากสถานที่แห่งนั้น ดวงวิญญาณนั้นก็จะคงล่องลอยไม่ไปผุดไปเกิดจะรอคอยให้มีอะไรสักอย่างมาปลดปล่อยพวกเขาไป

ลองดูตัวอย่างเรื่องสั้นที่ผู้เขียนแต่งขึ้น แน่นอนว่าผู้เขียนเองก็ไม่รู้แน่ชัดหรอกว่าโลกหลังความตายนั้นมันจะเป็นอย่างไร ก็เคยได้แต่ฟังๆในสิ่งที่คนอื่นเล่าๆกันมาเท่านั้น แต่อย่างที่เคยบอกไว้ว่าเราไม่ต้องไปสนใจหรอกว่าอะไรจะจริงหรือจะเท็จ เราสามารถเอาสิ่งที่เราคิดมาเขียนได้เลย ผู้เขียนของรับรองว่าไม่มีใครออกมาจับผิดเราได้แน่ๆในเรื่องชีวิตหลังความตายนี้

http://shortstorylongcontent.blogspot.com/2014/07/blog-post_67.html

ความถนัด

เราสามารถตอบตัวเองได้อย่างแน่นอนว่าเราถนัดอะไร สิ่งไหนที่เราทำได้อย่างช่ำชอง ทำมันได้อย่างจริงจังและทำได้ดี ความถนัดนี้อาจจะมาจากความชอบของเราเอง หรือสิ่งที่เราได้ทำบ่อยๆเช่นที่บ้านของเราเป็นอู่ซ่อมรถ เราจึงมีความถนัดในการซ่อมรถยนต์ ความรู้เรื่องเทคนิคต่างๆที่เราเคยรู้มาสามารถเอามาใช้สร้างเค้าโครงเรื่องของเราได้
ในเช้าวันหนึ่งมีรถยนต์ถูกลากเข้ามาในอู่รถ เจ้าของแจ้งว่ารถแจ้งว่าไม่สามารถขับได้เพราะขับไปเพียงแค่นิดเดียวก็มีไฟเตือนเรื่องความร้อน เจ้าของอู่ตรวจเช็คดูอาการและบอกให้เจ้าของรถว่าหม้อน้ำรั่ว ให้นั่งรอประมาณ 1 ชั่วโมง เวลาผ่านไปไม่นานช่างนำรถคันนั้นออกมาจอดที่หน้าอู่และเสียบกุญแจค้างไว้แล้วเดินเข้าไปในอู่ จังหวะนั้นเจ้าของรถสบโอกาสที่ช่างเผลอรีบเปิดประตูรถสตารท์เครื่องและขับออกไปทันทีโดยที่ยังไม่ได้จ่ายเงินค่าซ่อม เด็กฝึกงานของอู่เดินออกมาพร้อมขวดน้ำยาหล่อเย็นแต่ไม่พบรถคันที่ถูกสั่งให้มาเติมน้ำยาจึงตะโกนเรียกเจ้าของอู่ เจ้าของอู่ออกมาและบ่นว่าถูกชักดาบเงินค่าซ่อมแล้ว แต่เขาไม่ร้อนใจเพราะคิดว่าในรัศมี 20 กิโลเมตรนี้ไม่มีอู่ซ่อมรถ หม้อน้ำที่ถูกแกะมาเชื่อมรอยรั่วยังไม่ได้ถูกเติมน้ำยาหล่อเย็นเข้าไป
หากเราชอบการพายเรือ เราพายเรืออย่างเป็นประจำดังนั้นเราต้องรู้เทคนิคในเชิงลึกของการพายเรือที่คนทั่วไปอาจจะไม่รู้ หากนำเรื่องที่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้มาทำเป็นโครงเรื่อง มันก็จะทำให้เรื่องสั้นของเราเป็นงานเขียนที่ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น หรือเรื่องของการทำอาหารก็มีเรื่องราวมากมายให้เอามาสร้างเรื่อง

งานอดิเรก

งานอดิเรกก็เหมือนกับงานที่เราถนัด คือเราได้ทำมันบ่อยๆและมีความชำนาญเกี่ยวกับมัน แต่งานอดิเรกคืองานที่เราชอบด้วย เราหลงใหลไปกับมันจนบางครั้งเราก็อาจที่อยากจะเขียนเกี่ยวกับมันก็ได้ การเอางานอดิเรกที่เราหลงใหลมาใส่ในงานเขียนเป็นการใส่ความสนใจและความชอบของเราลงไปในงานด้วย ยิ่งจะทำให้ชิ้นงานออกมาน่าสนใจ อย่างน้อยถ้าผู้อ่านที่ชอบแนวเดียวกันด้วยแล้วก็ยิ่งน่าสนใจเข้าไป

หากเราชอบเล่นเกมส์ สมมุติชอบเล่นจากเครื่องคอมโซลหรือเกมส์ออนไลน์ เราจะรู้ว่าผลกระทบจากการเล่นเกมส์เป็นอย่างไร อาจจะฝึกสมอง เสียการเรียน อบายมุข มีสังคมมากขึ้นอะไรก็ว่าไป และเราจะสามารถสร้างตัวละครที่เล่นเกมส์และมีพฤติกรรมหลงใหลการเล่นเกมส์ได้เป็นอย่างดี เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าคนที่ติดเกมส์เป็นอย่างไร

หรือหากงานอดิเรกของเราคือการปั่นจักรยาน ไม่ว่าจะเพื่อออกกำลังกายหรือใช้ในชีวิตประจำวัน เราจะรู้ว่าสภาพแวดล้อมในการปั่นจักรยานคืออะไร อันตรายบนท้องถนน การออกกำลังเผาผลาญพลังงานในร่างกาย การมีสังคมจักรยานที่กว้างขึ้น ราคาจักรยานและอุปกรณ์ที่แพงมหาโหด หากเป็นงานอดิเรกของเราจริงๆเราย่อมต้องรู้ถึงสิ่งที่ได้จากการปั่นจักรยานอย่างแน่นอน และเรื่องพวกนี้แหละที่เราสามารถยกขึ้นมาร่างเป็นเค้าโครงเรื่องสั้นได้

ท้ายบท

การร่างเค้าโครงร่างคือการเขียนแนวความคิดของเราแบบหยาบๆ จะหยาบเท่าไหร่ก็ได้ไม่เป็นไร ขอเพียงให้มันพออธิบายแนวคิดของเราได้ก็พอ อาจจะมีแต่จุดเริ่มต้นของเรื่อง เช่น ชายหนุ่มเดินหลงทางในป่า เขาเจอกับกลุ่มลักลอบตัดไม้เถื่อนกำลังตัดไม้...

รถยนต์คันหนึ่งวิ่งไปบนถนนซูปเปอร์ไฮเวย์ แต่ยางแตกกลางทาง ไม่มีรถวิ่งบนถนนที่ห้อมล้อมไปด้วยป่าเขาสักคัน...

ในห้างสรรพสินค้าใหญ่ วันนี้ผู้คนแน่นห้างเป็นพิเศษเนื่องจากมีร้านอาหารชื่อดังลดราคา 50% เฉพาะวันนี้ คนต่อคิวกันจากหน้าปากประตูร้านที่อยู่ชั้น 5 ไปถึงสี่แยกไฟแดงหน้าห้าง ผู้คนลืมไปว่าปกติร้านอาหารนี้ราคาอาหารแพงกว่าร้านที่อยู่ข้างไฟแดงหน้าห้าง 2 เท่า...

งานวันเด็กแห่งชาติ ทหารเปิดโอกาสให้เด็กขึ้นไปบนเครื่องบิน...

คืนหนึ่งในกรุงเทพที่ร้อนตับแตก แต่วันนี้ไฟดับตลอดคืน ไม่สามารถเปิดเครื่องปรับอากาศได้...

ฯลฯ

จะสั้นๆแค่ 1 บรรทัดก็ได้แค่พอเป็นจุดเริ่มต้น หรือจะเขียนแนวคิดรวมตั้งแต่เริ่มจนจบ ถ้าหากนึกวิธีการดำเนินเรื่องย่อๆได้ เหมือนกับตัวอย่างที่ผู้เขียนยกตัวอย่างขึ้นในการอธิบายในแต่ละหัวข้อ

ถึงแม้จะร่างเค้าโครงร่างออกมาได้แค่จุดเริ่มต้นสั้นๆ แต่นั้นก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วสำหรับบทเรียนนี้ ในบทต่อไปจะพูดถึงการเริ่มเขียนโครงร่าง ซึ่งโครงร่างในบทถัดไปจะเป็นเรื่องย่อของเนื้อหาเรื่องสั้นของเรา ซึ่งอาจจะเป็นโครงสร้างและวิธีการดำเนินเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบของเรื่องสั้น

สำหรับในบทเรียนนี้หากผู้อ่านอยากจะทบทวนกลวิธีที่ผู้เขียนนำเสนอไป ให้ลองมองดูรอบๆตัวเรา และดูในหัวสมองของเราว่าพอจะจับประเด็นอะไรได้บ้าง ลองนึกถึงคำพูดจากใครบางคน หรือบทสนทนาจากภาพยนต์ บนโต๊ะทำงานเรามีหนังสืออะไรที่พอจะหาความสนใจของเราออกมาได้ ลองเดินไปหน้าปากซอยแล้วสังเกตุดูว่ามีเหตุการณ์อะไรที่ดูผิดแปลกพิสดารเกิดขึ้น หรือหากยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ลองดูแบบฝึกหัดท้ายบทว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง

แบบฝึกหัด

  1. ผู้อ่านลองนึกย้อนไปในอดีตว่ามีวันไหนที่เราอยากย้อนกลับไปใวัวันนั้นอีกครั้ง และในวันนั้นมันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ลองนำเหตุการณ์วันนั้นมาจินตนาการให้เราย้อนกลับไปได้ และเอาสิ่งที่เราอยากจะทำต่อในวันนั้นมาร่างเป็นเค้าโครงเรื่องสั้นของเรา
  2. คล้ายกันกลับข้อหนึ่ง แต่เปลี่ยนจากวันที่เราอยากย้อนกลับไปเปลี่ยนเป็นไม่อยากย้อนกลับไป ให้เอาเหตุการณ์ในวันนั้นมาร่างเป็นเค้าโครงเรื่องสั้น
  3. นึกถึงภาพยนต์เรื่องโปรดที่เราเคยดู นึกถึงคำพูดหรือเหตุการณ์อะไรที่น่าสนุกมาร่างเป็นเค้าโครงเรื่องสั้น หรืออาจจะหาภาพยนต์โปรดเรื่องนั้นมาดูอีกรอบก็ได้
  4. หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาสักเล่ม หาพาดหัวข่าวที่ดูหน้าสนใจ อ่านรายละเอียดคร่าวๆของข่าวนั้นแล้วนำมาเขียนเป็นโครงเรื่องสั้น
  5. หากเรามีเฟซบุ๊ค ให้เปิดมันขึ้นมาดูที่หน้า feed ของเรา ไล่ดูว่าเพื่อนๆของเราพูดอะไร บ่นอะไร เดินทางไปที่ไหน กินอะไรมา ฯลฯ หยิบประเด็นเหล่านั้นมาร่างเป็นเค้าโครงเรื่องสั้น
  6. ลองมองขึ้นไปบนท้องฟ้า มองหาก้อนเมฆสักก้อนแล้วจินตนาการว่ามันคืออะไร นำสิ่งที่เราคิดได้มาร่างเป็นเค้าโครงเรื่องสั้น (ข้อนี้อาจจะยากไป ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร หาวิธีที่ง่ายกว่านี้แทน)

ความคิดเห็น